หูฟังไร้สายจากทาง Sony ในรุ่น WH-1000XM4

เป็นหูฟังไร้สายรุ่นล่าสุดที่ต่อยอดให้มีฟังก์ชั่นที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นกว่ารุ่นก่อนครับ และยังมีประสิทธิภาพในการตัดเสียงรบกวนที่ยอดเยี่ยมเช่นเคย

การออกแบบ

ในส่วนของการออกแบบนั้น หูฟังไร้สาย Sony WH-1000XM4 เป็นหูฟัง full size ที่ใช้การออกแบบที่คล้ายกันกับรุ่น WH-1000XM3 เลยครับ โดยตัวหูฟังนั้นมีขนาด ear cup ที่พอเหมาะ ซึ่งจะครอบใบหูได้อย่างพอดี ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป ตัวบอดี้นั้นจะใช้พลาสติกเป็นหลักครับ เป็นสีแบบกึ่งเงาซึ่งดูเรียบหรูมากๆ โดยจะมีให้เลือก 2 สีคือสีดำ และสีเงิน โดยในส่วนของฟองน้ำนั้นก็จะเป็นสีเดียวกันกับตัวหูฟังเพื่อความสวยงามครับ ออกแบบให้เมื่อสวมใส่จะกระจายแรงกดได้ดี ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บใบหูเวลาใช้งาน ภายในกล่องมาพร้อมกับเคสสำหรับพกพา และสายไฟต่างๆครับ

อุปกรณ์ภายในกล่อง

  • Sony WH-1000XM4
  • เคสสำหรับพกพา
  • สาย USB
  • สายหูฟัง

การใช้งาน

ในส่วนของการใช้งานนั้น หูฟัง Sony WH-1000XM4 จะใช้การเชื่อมต่อไร้สายผ่านทาง Bluetooth 5.0 โดยสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง และถ้าหากแบตเตอรี่หมด สามารถชาร์จเป็นเวลาสั้นๆเพียง 10 นาที จะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 5 ชั่วโมงครับ

ตัวหูฟังรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านทาง AUX 3.5mm ที่แถมมาให้ภายในกล่องครับ สำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ Bluetooth นั่นเอง

โดยฟังก์ชั่นหลักของ Sony WH-1000XM4 ก็คือระบบตัดเสียงรบกวน Active noise cancelling นั่นเองครับ ซึ่งจะทำการประมวลผลด้วยชิป QN1 ที่อยู่ในหูฟัง ประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ Personal Noise-Canceling Optimizer ที่จะทำการตัดเสียงรบกวนตามสภาวะแวดล้อมที่ใช้งาน และ Asmosperic Pressure Optimizing ที่จะประมวลผลการตัดเสียงรบกวนตามความกดอากาศในขณะที่ใช้งานบนเครื่องบินหรืออยู่ในพื้นที่สูงครับ

หูฟังไร้สาย Sony WH-1000XM4 จะมาพร้อมกับ Ambient Sound Control ที่จะทำการดูเสียงที่สำคัญๆเข้ามา เช่น เสียงประกาศต่างๆ แต่จะตัดเสียงรบกวนอื่นๆออกไปครับ โดยสามารถปรับแต้งฟังก์ชั่นได้ผ่านตัวแอปครับ

ไดร์เวอร์ของ Sony WH-1000XM4 นั้นจะมีขนาด 40 มม. เท่ารุ่นก่อนครับ ออกแบบมาให้ตอบสนองความถี่ได้อย่างครอบคลุม โดยผ่านมาตรฐาน Hi-Res Audio ครับ

และฟังก์ชั่นใหม่ DSEE Extreme ที่จะเป็นระบบ upscailing ให้กับเพลงความละเอียดต่ำ เช่นไฟล์เพลง mp3 โดยจะวิเคราะห์และทำการชดเชยรายละเอียดเสียงที่หายไปในแต่ละย่านเสียง ช่วยให้รายละเอียดที่ได้จากเพลงนั้นดียิ่งขึ้นครับ

ระบบ Speak-to-Chat ซึ่งเป็นระบบใหม่ล่าสุด ที่เมื่อเราเริ่มพูด ตัวหูฟังจะทำการหยุดเล่นเพลงชั่วคราว และทำการเปิดระบบ Ambient Mode ให้เองโดยอัตโนมัติครับ และเมื่อเราพูดคุยเสร็จ ตัวหูฟังจะทำการเริ่มเล่นเพลงต่อให้เองโดยอัตโนมัติครับ

ระบบ Adaptive Sound Control ที่จะทำการวิเคราะสภาวะรอบๆตัว และปรับโหมดการใช้งานให้กับเราโดยอัตโนมัติครับ โดยจะมีทั้ง Traveling, Walking, และ Waiting ครับ นอกจากนี้ตัวระบบยังจดจำสถานที่และโหมดการใช้งานของเราอีกด้วย โดยเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง หูฟังจะเปลี่ยนโหมดต่างได้แม่นยำขึ้นเรื่อยๆด้วยครับ

ระบบ Proximity Sensor ซึ่งเมื่อเราถอดหูฟังออก จะทำการหยุดเล่นเพลงให้เองโดยอัตโนมัติ และถ้าเราใส่หูฟังกลับเข้าไป ก็จะเล่นเพลงต่อให้ครับ 

ระบบ Quick Attention เทื่อเราเอามือโอบที่ ear cup ด้านขวา ตัวหูฟังจะเปิด ambient mode และหรี่เสียงเพลงลงทันที เหมาะกับการพูดคุยเป็นระยะเวลาสั้นๆครับ

โดยระบบทั้งหมดนั้น สามารถทำการปรับแต่งได้ผ่านทางแอป Sony Headhpones Connect มีให้ดาวน์โหลดทั้งบน Android และ iOS ครับ

ตัวหูฟังจะมาพร้อมกับไมโครโฟนระบบตัดเสียงรบกวน สามารถพูดคุยสื่อสารได้อย่างคมชัด และรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่านทาง Google Assistant อีกด้วยครับ

คุณภาพเสียง

ในส่วนของเสียงนั้น หูฟัง Sony WH-1000XM4 จะยังคงแนวเสียงที่คล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้าครับ โดยให้เสียงเบสที่ลงได้ลึกมาก โดยเสียงกีตาร์เบสนั้นสามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นของสายเลยทีเดียว ส่วน upper bass นั้นก็มีแรงปะทะที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไปครับ เสียงกลางหวาน ใส เนื้อเสียงสะอาด แยกแถวออกมาจากเครื่องดนตรีได้อย่างชัดเจน รายละเอียดอย่างเสียงในลำคอฟังได้อย่างชัดเจน ปลายแหลมมีหัวโน๊ตที่คม ใสเป็นประกาย ทอดตัวไปได้ไกลจนสุดปลายเสียง รายละเอียดกรุ๊งกริ๊งต่างๆมีอยู่เต็มไปหมด ส่วนเวทีเสียงนั้นมีขนาดปานกลาง เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ระบุตำแหน่งได้แม่นยำ โดยตัวนักร้องจะขยับเข้ามาเพียงเล็กน้อยครับ

สรุปเกี่ยวกับหูฟังไร้สาย Sony WH-1000XM4

โดยรวมแล้วหูฟังไร้สาย WH-1000XM4 นั้นเป็นหูฟังที่ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นก่อนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมครับ ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น และสามารถปรับแต่งฟังก์ชั่นต่างๆผ่านตัวแอปด้วยครับ


อุปกรณ์ภายในกล่อง

 

 

        หากคุณต้องการตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อสัมผัสกับคุณภาพเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ราวกับไปอยู่ในคอนเสิร์ตส่วนตัวของคุณ ในขณะเดียวกันก็ต้องการสนทนากับบุคคลรอบ ๆ กาย ผ่านการควบคุมที่ง่ายแสนง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส และปรับแต่งการใช้งานต่าง ๆ ผ่าน Application ในโทรศัพท์มือถือ

ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ "Sony    WH-1000X" รุ่นนี้ให้คุณได้อย่างแน่นอนครับ

        แต่ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าการเดินทางของแบรนด์ Sony ตัวท็อปในตระกูลตัดเสียงรบกวนได้เดินทางมาสู่ Generation ที่ 4 กันแล้วล่ะครับ

"ไม่ใช่เพิ่งจะมานิยม แต่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ Generation ที่ 1 แล้วล่ะครับ"

        หากพูดถึงหูฟัง Fullsize ที่ให้คุณภาพเสียงระดับ Hires ที่ส่งสัญญาณเสียงคุณภาพสูงมาสู่โสตประสาทของผู้ฟังในทันทีครับ โดยในตอนนี้ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปดูหน้าตาของบรรพบุรุษตระกูล WH-1000X กันสักหน่อย บางท่านอาจจะเคยใช้มาตั้งแต่ Generation ที่ 1 เลยก็เป็นได้ครับ..55

        ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ Sony นั้นมีจุดเด่นมาตั้งแต่รุ่นแรกที่ก้าวล้ำอนาคตในด้านฟังก์ชั่นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นระบบ Noise Canceling ที่ไม่ให้ความรู้สึกที่อุดอู้เหมือนรุ่นอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน ณ เวลานั้น ซึ่งในการเปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 2016 นั้นจะใช้รหัสว่า MDR-1000X โดยเป็นรหัสสุดคลาสสิค และเป็นมีระบบทัชสกรีนที่บริเวณ Earcup โดยมีระบบสั่งการเป็นการสัมผัสทั้งหมด ซึ่งสั่งการได้ด้วยปลายนิ้ว ตอบสนองได้อย่างฉับไว ที่ล้ำหน้าไปกว่าใครก็ต้องบอกเลยว่าระบบ Codec ที่มีให้มานั้นครบครัน มายาวนานจนถึงปัจจุบันนั่นคือ Ldac และ aptX ที่ส่งสัญญาณข้อมูลได้มากกว่าการส่งสัญญาณแบบทั่วไป

        และตลอดระยะเวลาที่ทาง Sony ได้วิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้หูฟังในตระกูลซีรี่ส์ 1000X ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ทั่วไป จนถึงผู้ใช้ที่เน้นการฟังเพลงคุณภาพไฟล์สูง ๆ (Hires) มาจนถึงวันนี้เลย และไม่เคยน้อยหน้าด้านนวัตกรรมทั้งด้านเสียง รูปลักษณ์ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ยังดูล้ำสมัย ไม่ตกรุ่น และยังทำให้ใครที่พบเห็นก็สามารถทราบได้ทันทีว่านี่แหละคือตระกูล 1000X ที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ Sony จวบจนทุกวันนี้

ในรอบนี้ก่อนจะไปแกะกล่องกัน ผมขอโชว์ตัวหูฟังให้ชมก่อนเลยดีกว่าครับ

        ตัวบอดี้ของ Sony รุ่น WH-1000XM4 กันเลย โดยวัสดุของตัวหูฟังนั้นทำจากพลาสติกคุณภาพสูงที่ให้ผิวสัมผัสที่เนียนเรียบไม่สากมือ จับถือได้อย่างถนัดมือครับ

        มาดูรายละเอียดของตัวหูฟังกันสักหน่อยนะครับ สำหรับรุ่นนี้ จะมีการปรับปรุงในส่วนของบริเวณที่ครอบหูหรือ Earcup ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น M3 เล็กน้อย โดยให้เหตุผลที่ว่าสามารถสวมใส่ได้สบายมากยิ่งขึ้นครับ

        และหากเราพลิกด้านใน Earcup ทางด้านซ้ายจะพบกับ Sensor ขนาดใหญ่ที่จะยุบลงไปด้านในบริเวณด้านข้างตำแหน่งของ Driver ครับ

        โดยที่ทางฝั่งด้านขวาจะเป็น Earcup ด้านนอกจะดีไซน์เรียบ ๆ มาพร้อมกับระบบทัชสกรีนบนบอดี้เพื่อควบคุมและสั่งการครับ

        และข้อต่อของหูฟังก็ยังมีความเป็นอิสระเช่นเคยเพื่อให้รองรับกับสรีระของศรีษะแต่ละบุคคลที่จะใช้งานได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ

        มีการแจ้งบอกตำแหน่งของด้าน L และ R อย่างชัดเจนที่บริเวณข้อต่อ โดยเน้นย้ำสัญลักษณ์วงกลมสีแดงที่ทำครอบตัวอักษร R ไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้สังเกตเห็นได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะมองไม่เห็น และไม่จำต้องมานั่งเดาด้วยครับ

        โดยบริเวณด้านนอกของหูฟังทั้ง 2 ข้าง จะมีช่องที่ทำการติดตั้งไมโครโฟนเพื่อใช้ในการทำระบบ Noise Canceling อยู่ใต้สัญลักษณ์โลโก้แบรนด์ของ Sony และมากไปกว่านั้น จะสังเกตได้ว่าจะพบช่องสำหรับเก็บไมโครโฟนเพื่อเสริมให้การตัดเสียงมีประสิทธิภาพรอบ ๆ บริเวณ Earcup อีกด้วยครับ

        สำหรับ Earcup ทางด้านซ้ายจะมีการพิมพ์กดร้อนลงไปเพื่อทำสัญลักษณ์ระบบ NFC ที่สามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนจากทาง Andriod ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ท่านมีสมาร์ทโฟนมือถือ Android ที่มี NFC ก็แค่เอาด้านหลังตัวเครื่องมาแปะไว้ประมาณ 3 วินาที ก็จะทำการเชื่อมต่อกันได้เลย ทำให้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนไวยิ่งขึ้นไปอีกครับ

        สลับมาทางด้านซ้ายล่างของ Earcup จะพบกับปุ่ม Power สำหรับเปิด / ปิด เครื่อง กับปุ่ม Custom ที่เราจะสามารถปรับแต่งการใช้งานได้จากภายในแอปพลิเคชั่นจากทาง Sony และที่สำคัญคือจะมีตุ่มเล็ก ๆ ไม่ใช่ว่าทางแบรนด์ผลิตสินค้ามีตำหนิ แต่ทาง Sony ได้ทำมาเพื่อให้สามารถทราบได้ว่าหูฟังด้านนี้คือหูฟังฝั่งด้านซ้าย สำหรับผู้ใช้ที่อาจจะประสบปัญหาทางด้านการมองเห็นนั่นเอง เรียกว่าใส่ใจเพื่อผู้ใช้งานจริง ๆ ครับ

        ถัดมาอีกนิดจะพบกับช่องเสียบสาย AUX 3.5MM ที่ทางแบรนด์จะให้มาในกระเป๋าด้วยเพื่อใช้งานในกรณีที่อาจจะไม่สะดวกเปิดระบบ Bluetooth ก็ยังสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นเวลาเราขึ้นเครื่องบิน และต้องการจะเสพมีเดียจากทางสายการบิน เป็นต้นครับ หากเราทำการเสียบสาย AUX ไปนั้น ตัวหูฟังก็จะยังสามารถใช้งานระบบ Noise Canceling ได้เช่นกันครับ

        บริเวณ Earcup ทางด้านล่างของฝั่งขวา จะมีช่องสำหรับชาร์จไฟแบบ USB Type C ที่จะมีไฟสัญลักษณ์แสดงสถานะการชาร์จให้ผู้ใช้ทราบด้วยครับ

        Sony นับเป็นแบรนด์อันดับต้น ๆ เลยครับ ที่ผมรู้สึกได้เลยว่าวัสดุหนังที่หุ้มฟองน้ำ ไม่ว่าจะเป็น Headband หรือ Earcup มีความสวยงาม ผิวสัมผัสนุ่ม ใส่สบาย แถมยังทนทานมาก ๆ อีกด้วยครับ

และเนื่องจากในตอนนี้ผมได้ทำการสาธยายมาเยอะแยะหลายท่านอาจจะเริ่มง่วงแล้ว ถ้าเช่นนั้นอย่ารอช้ามาเปิดกล่อง Unpack กันเลยดีกว่าครับ

        สำหรับอุปกรณ์ทุกอย่างที่มีมาให้ในกล่อง จำพวกอุปกรณ์เสริมที่ติดมาให้ก็ครบครัน อาทิ  กระเป๋าสำหรับจัดเก็บตัวหูฟัง และเมื่อรูดซิปเปิดกระเป๋าขึ้นมาจะพบว่าไม่มีตัวหูฟัง ผ่าม..!!! ไม่ใช่ครับ ผมได้แยกออกมาแล้วครับ...555  ตัวหูฟัง และดีเทลในตัวกระเป๋าจะมีกระดาษที่สกรีนวิธีการเก็บตัวหูฟังลงไปในตัวกระเป๋าไว้ให้ด้วยครับ

        จุดเด่นของ Sony ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงเป็นในส่วนของฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ไล้ฟ์สไตล์ของผู้ใช้ทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งหลายท่านอาจจะทราบมาบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ไม่เคยสัมผัสหูฟังรุ่นนี้จากทาง Sony มาก่อน ผมจะอธิบายไว้ตรงนี้เลยนะครับ 

        อย่างแรกเลยคือระบบการสัมผัสครับที่ Sony คิดค้นขึ้นมาในช่วงเดียวกันกับยุคที่มีหูฟังอีกแบรนด์จากประเทศฝรั่งเศสที่มีนามว่า Parrot Zik ในยุคสมัยนั้นนั่นเองครับ

        คือการสั่งงานแบบทัชสกรีนที่บริเวณบอดี้ด้านนอกของหูฟังฝั่งด้านขวาครับ โดยได้ยืมนายแบบจำเป็นอย่างน้องหนามเตย มาเป็นนายแบบในการถ่ายทำในครั้งนี้ครับ เนื่องจากผู้เขียนเขินกล้อง..555

การควบคุมด้วย Touch Screen

- แตะ 1 ครั้ง : เล่นเพลง, หยุดเพลง, รับสายสนทนาโทรศัพท์ และวางสาย

- รูด / ปัดขึ้น : เพิ่มเสียง

- รูด / ปัดลง :  ลดเสียง

- สไลด์ ไปทางด้านซ้าย : เลื่อนเพลงไปแทร็กถัดไป

- สไลด์ ไปทางด้านขวา : ย้อนกลับไปแทร็กก่อนหน้า แต่ถ้าหากเราเพลงได้ทำการเล่นเลยช่วง 5 วินาทีแรกของเพลงไปแล้วนั้น จะเป็นการเริ่มเพลงที่ฟังใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้งครับ

        สำหรับการเปิด / ปิดเครื่อง จะใช้การกดปุ่ม Power ค้างไว้จนมีสเตตัสไฟแสดงผลสีฟ้ากระพริบขึ้นมา แต่หากต้องการจะเชื่อมต่อระบบ Bluetooth นั้นจะต้องกดค้างต่อจากการเปิดเครื่องไปอีกประมาณ 7 วินาที จนเกิดไฟสถานะสีฟ้ากระพริบ 2 ครั้งติดต่อกัน หรือถ้าหากสวมใส่หูฟังแล้วทำการกดเชื่อมต่อจะมีเสียงพูดแจ้งว่า Power On และหากกดปุ่ม Power ค้างต่อไปจนเข้าสู่โหมดการเชื่อมต่อจะมีเสียงแจ้งเตือนว่า Bluetooth Pairing ครับ

 และค่ามาตรฐานของปุ่ม Custom จะเป็นการปรับโหมดระบบ Noise Canceling, Ambient Sound และ Off  นั่นเองครับ แต่ปุ่มนี้เราสามารถเข้าไปตั้งค่าเพิ่มเติมได้ในส่วนของแอปพลิเคชั่นนั่นเองครับ

        ตัวหูฟังจะมี Proximity Sensor ที่ถ้าหากเราทำการถอดหูฟังออกในขณะที่เล่นเพลงอยู่ก็จะทำการหยุดเพลงให้แบบอัตโนมัติ และเมื่อใส่กลับเพลงก็จะกลับมาเล่นต่อให้ในทันทีครับ 

        และระบบเดิมสุดคลาสิกที่ยังคงอยู่นั่นคือการเอาฝ่ามือแปะไปที่บน Ear Cup ของหูฟังด้านขวา เพื่อเป็นการดึงเสียงภายนอกเข้ามาภายในหูฟังชั่วคราว โดยที่ไม่ต้องถอดหูฟังออกมาครับ

        ก่อนจะเข้าสู่การเทสเสียงให้ทุกท่านได้ทราบ ผมขออนุญาตแจ้งสเปคในการรองรับย่านเสียงที่หูฟัง Sony โมเดล WH-1000XM4 สามารถถ่ายทอดออกมาได้ก่อนเลยครับ Frequency Response : 4 Hz - 40,000 Hz และมีรองรับการส่งสัญญาณถึง 3 แบบมาตรฐานนั่นคือ AAC, SBC และ LDAC โดยที่ทาง Sony ได้เลือกใช้ไดร์เวอร์แบบ Dynamic ขนาด 40mm. รองรับคุณภาพเสียงแบบ Hires Audio ซึ่งถ้าหากเราเชื่อมต่อด้วยสามาร์ทโฟนจากทาง iPhone หรือ Apple Device จะสามารถรองรับย่านความถี่เสียงได้เพียง 20 Hz - 20,000 Hz สำหรับ 44.1 kHz Sampling แต่ถ้านำไปใช้กับสามาร์ทโฟนจากทางฝั่งของ Android ที่รองรับการส่งสัญญาณแบบ LDAC จะสามารถส่งย่านความถี่เสียงได้จาก 20 Hz - 40,000 Hz โดยที่ระบบของหูฟังจะเป็นแบบ Close Type ที่มาพร้อมกับ Bluetooth Version 5.0 ที่ใช้ช่องทางความถี่แบบ 2.4 GHz นั่นเองครับ

Sound Test

Low Frequency 

        - ย่านความถี่ต่ำในส่วนของเบสนั้นลงได้ลึกมาก ทำให้สามารถฟังเพลงที่เน้นจังหวะความสนุกและให้อิมแพ็คแรงปะทะที่มีมวลปานกลาง ทำให้เวลาฟังเพลงจะไม่รู้สึกล้าหูไวจนเกินไป และยังแบ่งย่านเบสได้ขาดจากย่านอื่น ๆ ทำให้เวลาที่ฟังเพลงจะสามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของชิ้นดนตรีที่อยู่ทางด้านหน้าชัดเจนขึ้นอีกด้วยครับ

Mid Frequency 

        - เสียงนักร้องจะมีความละมุนตามสไตล์ Sony ติดเนื้อเสียงที่คมตรงปลายเล็กน้อยแต่ไม่รู้สึกรำคาญหรือแสบหูให้รู้สึก และยังมีความใส กังวาล ให้รับรู้ได้อีกด้วยล่ะครับ แต่ที่จะแยกได้ยากนิดนึงคือเสียงคอรัส เพราะจะอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับนักร้องนำ โดยถ้าไม่ได้สังเกตก็แทบจะไม่รู้สึกเลยครับ ถือว่าทำออกมาได้ดีสำหรับหูฟังในกลุ่ม Bluetooth ที่ถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ถึงระดับนี้ครับ

High Frequency 

        - เสียงปลายแหลมมีความละเอียดที่มากกว่ารุ่น "M3" เล็กน้อยแต่ที่สำคัญคือไม่มีการบาดหู ฟังแล้วรู้สึกเป็นเสียงปลายแหลมที่ไหลลื่น ฟังสบาย และเก็บรายละเอียดได้แทบจะครบทั้งเวที ที่สำคัญคือเสียงแหลมมีการลากปลายเสียงไปได้ไกล ใครที่ชอบเสียงปลายแหลมที่ให้รายละเอียดครบ ๆ แต่ไหลลื่นจะต้องติดใจแน่นอนครับ

Soundstage

        - เวทีเสียงของรุ่นนี้ยังให้ขนาดเวทีที่เหมือนกันกับรุ่น "M3" โดยลักษณะเวทีจะไม่กว้างหรือแคบจนอึดอัด ยังคงมีการจัดตำแหน่งให้มีความรู้สึกที่โปร่ง ไม่เหมือนกับการฟังเพลงกับหูฟัง Noise Canceling ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทาง Sony ทำมาได้ดีตั้งแต่แรกมาจนถึงรุ่นนี้ในปัจจุบันนี้ครับ

        และหากท่านใดที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ แต่บางสถานที่ก็ชวนให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยหรือมีความจำเป็นที่จะต้องได้ยินเสียงภายนอก เพียงแค่เปิดระบบ Ambient Sound ไว้ก็จะช่วยให้เราได้ยินเสียงบรรยากาศรอบข้าง อาทิ ตอนที่เดินข้ามถนน เดินในสถานที่ชุมชน หรือไปกับก๊วนเพื่อนแต่ไม่อยากพลาดการได้ยินเสียงของเพื่อน ๆ ในกลุ่ม โดยเมื่อทำการเปิดระบบ Ambient ไว้จะให้เนื้อเสียงที่แตกต่างจากตอนเปิดระบบ Noise Canceling ดังนี้ครับ

มาถึงในส่วนของแบตเตอรี่กันบ้างนะครับ 

        Spac ที่ทาง Sony บรรจุลงมาให้หูฟังรุ่นนี้ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานมากเลยทีเดียวครับ สำหรับการใช้งานซึ่งจะจำแนกออกมาได้ดังนี้ครับ

        - การใช้งานในโหมด Noise Canceling ไม่ว่าจะเปิดฟังเพลง หรือใช้เพื่อลดเสียงรบกวนในระหว่างการเดินทาง จะสามารถใช้ได้ยาวนานถึง 30 ชั่วโมงครับ

        - การใช้งานฟังเพลง แบบปิดระบบ Noise Canceling จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง  38 ชั่วโมงครับ

        - การใช้งานในโหมดสแตนบาย หากปิดระบบ Noise Canceling จะอยู่ได้ยาวนานถึง 200 ชั่วโมงครับ

        "จากการนำไปทดลองใช้งานเปิดเพลงฟังไปด้วยและตัวผมเองนั้นเป็นคนที่ฟังเพลงค่อนข้างจะเปิดโวลลุ่มเสียงประมาณ 80-100% บนสมาร์ทโฟน จึงทำให้การใช้งานไปพร้อมกับระบบ Noise Canceling จะทำได้อยู่ที่ประมาณ 22-23 ชั่วโมงนะครับ จากการใช้งานจริง ก็ถือว่าไม่ได้น่าเกลียดแต่อย่างใดครับ เพราะในการทดสอบของ Sony นั้นจะเป็นการเทสในบริษัทซึ่งการเปิดทดสอบเสียงอาจจะเทสในมาตรฐานของทางแบรนด์ครับ"

        สำหรับแบตเตอรี่หากเริ่มชาร์จจาก 0-100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังไฟของอแดปเตอร์ชาร์จที่ใช้งาน และการชาร์จแบบเร่งด่วนที่ชาร์จเพียงแค่ 10 นาที จะใช้งานได้ยาวนานถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียวล่ะครับ

        สำหรับการป้องกันเสียงรบกวน หรือฟังก์ชั่น Noise Canceling นั้นสามารถใช้ตัดเสียงรบกวนได้เยอะมาก ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงใด ๆ ภายนอกเลย หากทว่าระบบจะทำการลดทอนเสียงรบกวนลงไปให้น้อยที่สุดครับ และระบบจะทำงานเฉพาะในโหมดการป้องกันเสียงเพื่อการฟังเพลงเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับตัดเสียงเวลาสนทนาสายโทรศัพท์ครับ ซึ่งรุ่น WH-1000XM4 นี้ สามารถรับสายสนทนาได้แต่คุณภาพการรับเสียงจากไมโครโฟนจะอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งถ้าหากสภาพแวดล้อมรอบ ๆ มีเสียงรบกวนเยอะก็อาจจะต้องเร่งเสียงพูดให้ดังขึ้นอีกสักหน่อย มิฉะนั้นฝั่งคู่สนทนาจะได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอกที่มากกว่าครับ

        ที่สำคัญ Sony ยังคงคอนเซ็ปโทนสีเดิม 2 สีมาตรฐาน นั่นคือ "Silver และ Black" มาให้ทุกท่านได้เลือกใช้งานตามสไตล์ของแต่ละท่านเช่นเคยนะครับ

        หวังว่าบทความนี้จะสามารถสรุปความน่าสนใจให้กับผู้ใช้งาน หรือท่านที่กำลังตัดสินใจจะหาหูฟังคู่ใจไว้ใช้งานสักหนึ่งรุ่นไม่มากก็น้อยนะครับ อีกทั้งผมพยายามที่จะรวบรวมฟังก์ชั่นทั้งหมดมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับบทความนี้ผมก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ยังลากอ่านมาจนจบนะครับ เนื่องจากเป็นบทความที่ยาวมาก ^_^ เพราะฟังก์ชั่นของหูฟังรุ่นนี้นั้นเยอะจริง ๆ ครับ ส่วนผมขอลาไปก่อนนะครับ ไว้พบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

คะแนนรีวิว

5.0 / 5

คะแนน

(ทั้งหมด 2 รายการ)
(0)
(0)
(0)
(0)
(0)

รีวิวจากลูกค้า

เรียงจาก

ถาม - ตอบทีมงาน



สินค้าใกล้เคียง