หูฟังจากทาง Final Audio ในรุ่น A3000

เป็นหูฟัง in ear ที่ใช้ไดร์เวอร์ใหม่ f-Core ที่ออกแบบให้เสียงที่ได้นั้นใสเป็นพิเศษครับ

การออกแบบ

ในส่วนของการออกแบบนั้น Final Audio A3000 เป็นหูฟัง in ear ชนิดเสียบสาย โดยตัวหูฟังนั้นจะสวมใส่แบบคล้องใบหู มีข้อดีคือถ้าหากตัวสายหูฟังถูกดึง ตัวหูฟังจะไม่หลุดออกจากใบหูครับ ตัวบอดี้ใช้วัสดุทำจากพลาสติกแบบด้าน สีดำ-เทา ใช้ขั้วเชื่อมต่อแบบ 2 Pin ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองครับ

อุปกรณ์ภายในกล่อง

  • Final Audio A3000
  • ชุดจุกหูฟังซิลิโคน
  • ซิลิโคนเกี่ยวหู
  • เคสสำหรับพกพา

การใช้งาน

ในส่วนของการใช้งานนั้น Final Audio A3000 จะออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียบแอมป์เพิ่มเติมเลยครับ

ภายในของ Final Audio A3000 จะใช้ชุดไดร์เวอร์ f-Core ซึ่งเป็นไดร์เวอร์ที่ทาง Final Audio ออกแบบใหม่หมด โดยชิ้นส่วนทั้งหมดจะวางอยู่ใน housing ที่ทำจากทองเหลือง ซึ่งจะสามารถควบคุมในส่วนของเสียงสะท้อนได้ดีกว่าอลูมิเนียมทั่วไปครับ

Final Audio A3000 จะมาพร้อมกับจุกหูฟังจากทาง Final Audio เองครับ โดยตัวจุกกจะสามารถปรับมุมในการสวมใส่เมื่อใส่เข้าไปในช่องหูได้ ช่วยเพิ่มความพอดี และให้เสียงที่ครบถ้วนทุกย่านเสียงครับ

คุณภาพเสียง

​ในรุ่น A3000 นั้นทาง Final Audio จูนเสียงมาเป็นอีกสไตล์ที่แตกต่าง​จากในซีรีย์อื่น ๆ ที่มีเข้ามาก่อนหน้านี้ครับ รุ่น A3000 นั้นมีจุดเด่นในเรื่องของความชัดเจนของเนื้อและความสะอาดของโทนเสียงโดยรวมครับ 

เสียงเบสของ A3000 นั้นจะเป็นเบสที่กระชับมวลเสียงจะไม่มากเท่ากับ E Series ซึ่งจะเป็นเบสที่รวดเร็วไม่ยืดย้วยมีอิมแพคชัดเจนทั้งเสียงเบสและเสียงกระเดื่องเลยล่ะครับ 

เสียงนักร้องนั้นมีอิมเมจที่เด่นชัดเสียงกังวานเก็บรายละเอียดคำร้องได้ชัดเจน ตำแหน่งเสียงนักร้องนั้นจะขยับมาด้านหน้าเล็กน้อย 

เสียงกลางและเสียงสูงนั้นมีความโปร่งเปิดเผยรายละเอียดชิ้นดนตรีได้ดีโฟกัสได้แม่นยำ เสียงกีตาร์โปร่งมีความสมจริงและมีเวทีเสียงที่กว้างขวางอีกด้วยครับ 

สรุปเกี่ยวกับหูฟัง Final Audio A3000

โดยรวมแล้วหูฟัง Final Audio A3000 เป็นหูฟัง in ear ที่ออกแบบมาให้เสียงที่สะอาด ใส ฟังง่าย เสียงนักร้องอิมเมจเด่น เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมก็สามารถใช้งานได้อย่างสบายเลยครับ


อุปกรณ์ภายในกล่อง

" การออกแบบหูฟัง IEM ที่ลงตัวที่สุดในทุกสัดส่วน เพราะนี่คือ Final Audio A Series "

สวัสดีครับทุกท่านในวันนี้ผมเต้แห่งสยามพารากอนจะพาทุกท่านไปพบกับแบรนด์หูฟังจากญี่ปุ่น Final Audio และหูฟัง Series A3000, A4000, รุ่นท็อปสุดอย่าง A8000 ซึ่งก่อนหน้านี้มีบทความของพี่มาร์ชพารากอนได้แนะนำในรุ่น B Series พร้อมกับทำความรู้จักกับแบรนด์นี้กันไปบ้างแล้วดังนั้นผมขอเริ่มเข้าเนื้อหาเลยก็แล้วกันนะครับ
 
: หัวใจหลักของหูฟัง In-Ear Monitor (IEM) : 
 
โดยปกติแล้วหลาย ๆ ท่านอาจคุ้นเคยกับหูฟังประเภท Inear หรือหูฟังมีจุกอุดหู เพียงเเต่ว่าหลาย ๆ รุ่นนั้นได้มีการปรับจูนเสียงให้เป็นไปในแต่ล่ะเเบรนด์ต้องการ ข้อดีคือให้เสียงที่ฟังสนุก ไพเราะ ข้อเสียคือไม่สามารถนำไปใช้ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับความเที่ยงตรงของเสียงได้ และด้วยเหตุนี้เองทาง Final Audio จึงได้ให้กำเนิดเป็น A Series ขึ้นมา เอาล่ะครับไม่รอช้าผมขอเริ่มเข้าเนื้อหาเลยก็แล้วกันนะครับ
 
: Final Audio A3000 และ A4000 :
 
เนื่องด้วยที่ว่ารูปร่างกล่องบรรจุภัณฑ์ของสองรุ่นนี้โดยร่วมแล้วเเทบจะเหมือนกันยังกับส่องกระจกเลย เห็นจะแตกต่างกันก็แค่มีเขียนชื่อรุ่นไว้บนกล่องว่า A3000 กับ A4000 แค่นั้นเลยครับ อ้อ... ลืมไปครับที่แตกต่างอีกหนึ่งจุดก็คือเรื่องของสีหูฟัง โดยที่ A3000 ตัวบอดี้หูฟังจะให้มาเป็นสีดำส่วน A4000 ตัวบอดี้หูฟังจะให้มาเป็นสีน้ำเงินเข้ม 
 
ด้านหลังกล่องจะมีสเปกภายในของตัวหูฟังมาอย่างละเอียด ซึ่งก็จะมีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่นเพื่อบ่งบอกเลยว่าแบรนด์หูฟังแบรนด์นี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศใด ด้านล่างยังบอกถึงอุปกรณ์ที่แถมมาให้ภายในกล่องด้วยว่ามีอะไรบ้าง
 
เปิดกล่องออกมาจะพบกับตัวหูฟัง แน่นอนว่าทั้ง A3000 และ A4000 ให้อุปกรณ์ของแถมมาเหมือนกันอีกด้วย
 
อุปกรณ์ภายในกล่องมีดังนี้
-หูฟัง Final Audio A3000/A4000
-จุกหูฟังซิลิโคน
-ซิลิโคนเกี่ยวหู
-เคสพกพา
 
นอกจากนี้ขั้วสายที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อก็เป็นแบบมาตรฐาน 2pin ที่มีความแข็งแรงทนทานอีกทั้งยังสามารถหาสายอัปเกรดได้หลากหลาย ท่อนำเสียงหูฟังเองก็มีขนาดที่เท่ากันแน่นอนว่าจุกที่แถมให้มาก็เป็นจุกของทางแบรนด์ Final Audio เองก็เป็นจุกหูฟังคุณภาพสูงอยู่แล้ว แต่คราวนี้แกนของท่อนำเสียงจะมีการแยกสีมาให้แล้ว เท่านี้ก็จะมีจุดสังเกตให้เรามองหาตัวหูฟังซ้ายขวาได้ถนัดขึ้นแล้ว
 
จะสังเกตได้ว่ารูปลักษณ์บอดี้ของหูฟังแบรนด์นี้จะมีลักษณะการออกแบบที่คล้าย ๆ กันตั้งแต่ Series B ซึ่งเอาจริง ๆ ผมขอบอกได้เลยว่าหากสวมใส่อย่างพอดีแล้วจะสบายมาก ๆ นอกจากนี้ยังสามารถตัดเสียงรบกวนภายนอกได้เป็นอย่างดี และด้วยตัวบอดี้หูฟังทั้งสองรุ่นมีน้ำหนักที่เบามากช่วยให้สามารถฟังได้เป็นเวลานานอีกด้วย
 เอาแล้วสิแบบนี้ผมจะหาข้อแตกต่างของสองรุ่นนี้เจอไหมนี่ เอาล่ะ ตามดูกันต่อไปครับ 
 
 : สเปกโดยละเอียดของหูฟัง A3000/A4000 :
 
A3000 Specifications
 
Product code    Fl-A3DPLMB
Impedance        18Ω
Sensitivity          98dB/mW
Weight                18g
Cable length      1.2 m
 
A4000 Specifications
 
Product code         Fl-A4DPLDN
Impedance             18Ω
Sensitivity              100dB/mW
Weight                    18g
Cable length           1.2 m
 
ในส่วนของไดเวอร์ภายในทั้งสองรุ่นใช้เป็น ไดนามิกไดรเวอร์ f-Core ขนาด 6 มม. ขนาดตัวชุดไดรเวอร์ก็ยังคงเหมือนกัน แต่หลาย ๆ ท่านคงจะสังเกตเห็นแล้วไช่ไหมครับว่า ค่า Sensitivity หรือค่าความดังเสียงนั้นรุ่น A3000 อยู่ที่ 98 dB จะใช้กำลังขับมากกว่า A4000 จะอยู่ที่ 100 dB ส่วนจะมีผลในเรื่องของเสียงมากน้อยเพียงใดผมจะสรุปให้ในตอนนี้เลยครับ
 
: สรุปเสียง A3000 :
 
           ผมขอเริ่มสรุปเสียงของ A3000 รุ่นน้องเล็กก่อนนะครับ หลังจากที่ทดสอบลองฟังอยู่หลายอาทิตย์ด้วยกัน ตามที่สัญญาครับผมว่าผมหาความแตกต่างของทั้งสองรุ่นได้แล้วครับ เอาเข้าจริงถึงแม้ตัวหูฟังรูปร่างหน้าตาจะเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่น้ำเสียงที่ได้กับแตกต่างกันสิ้นเชิง 
 
          เสียงเบส : ให้ย่านเนื้อเบสที่กระชับ ลงได้ลึก เก็บตัวเร็ว มีอิมแพคชัดเจน ทำได้ดีทั้งเบสสังเคราะห์และเบสกระเดื่อง นั้นเองทำให้สามารถฟังได้หลากหลายแนว Pop, Acoustic, Jazz, Instrumenta, Hip hop, รวมไปถึง EDM เป็นเสียงเบสที่ฟังได้ไม่เบื่อเลยครับ
 
          เสียงกลาง : เเน่นอนครับว่าทาง Final Audio โด่นเด่นและมีเอกลักษณ์มาก ๆ ในการปรับจูนเสียงกลาง เป็นเสียงร้องที่ทำได้สมูทชัดถ้อยชัดคํา เสียงนำหน้าเครื่องชิ้นดนตรีพอประมาณ 
 
          เสียงแหลม : สำหรับผมแล้วเป็นย่านเสียงปลายแหลมที่ฟังง่ายสะอาดแต่ไม่คม ทำได้ดีตามย่านเสียงที่ถูกบันทึกมา ไม่ว่าจะเป็นปลายแหลมจะเสียงของเครื่องเป่า เครื่องสาย หรือเสียงแหลมสูงของนักร้องหญิงก็ตาม 
 
          เวทีเสียง : A3000 ให้มิติเวทีเสียงที่ไม่กว้าง แต่มาทดแทนด้วยมิติด้านลึก โดยจะให้เสียงนักร้องที่อยู่ตรงกึ่งกลางเราพอดี ไม่นำหน้าเครื่องชิ้นดนตรีมากไป แต่รายละเอียดชิ้นดนตรีต่าง ๆ เก็บหัวโน้ตได้หมด
 
 ในที่สุดผมก็ได้รู้เเล้วว่า A3000 นั้นเหมาะกับการทำงานเพลง หรือตัดต่อเสียงในการทำงานมากที่สุด เพราะให้เนื้อเสียงที่มีความเที่ยงตรงสูง หรือจะใช้เป็นมอนิเตอร์ขึ้นเวทีเองก็ยังได้  
 
: สรุปเสียง A4000 :
 
           เอาล่ะครับถึงตาของนายเเล้ว A4000 ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้านั้นมีความแตกต่างมากน้อยเพียงใดกับรุ่นน้องของเจ้า 
 
          เสียงเบส : มาเป็นลูกๆ ชัดเจนรวมไปถึงด้านลึกเองด้วย แรงปะทะเข้ามาที่หูแบบชัดเจน หัวโน้ตเบสต่างๆ ทำได้ดีและเป็นเสียงเบสที่ฟังสนุกมากกว่า A3000 อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับแนวเพลง Rock
 
          เสียงกลาง : ส่วนตัวลองทดสอบเเล้วหลายต่อหลายครั้งแล้วพบว่าถูกดันขึ้นมามากกว่า A3000 อยู่หนึ่งเก้า เสมือนกับนักร้องมาร้องต่อหน้าเราขึ้นอีกเก้า จะฟังออกทันทีเมื่อฟังจากเสียงนักร้องหญิง 
 
          เสียงแหลม : ปลายแหลมมีความสว่างไสว คมชัด ทอดตัวไปได้ไกล แต่อาจจะรู้สึกจิกๆ อยู่ในบ้างเพลง เเต่ส่วนตัวเเล้วคิดว่าทำให้เสียงฉาบกลองฟังดูมีมิติเเละสนุกขึ้นเยอะ 
 
          เวทีเสียง : กว้างขวางมากกว่า A3000 อย่างเห็นได้ชัด ช่องไฟการแบ่งวรรคแบ่งช่วงของชิ้นดนตรีก็เปิดเผยมากขึ้น แน่นอนว่าทำให้สามารถได้ยินรายละเอียดชิ้นดนตรีมากกว่าในรุ่นน้องอยู่หนึ่งช่วงตัวเลยครับ
 
: ความคิดเห็นส่วนตัวใน รุ่น A3000/A4000 :
 
เป็นที่แน่นอนแล้วครับว่าทั้งสองรุ่น ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนกันในหลายๆ ด้านแต่เสียงที่ได้ออกมาแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผมเลยขอสรุปให้ตรงนี้เลยว่า A3000 เหมาะสมแก่การทำงานมอนิเตอร์มากที่สุด ในส่วนของ A4000 ก็สามารถทำงานมอนิเตอร์ได้แต่สำหรับท่านใดจะฟังเพลงเพื่อความสนุกคิดว่า A4000 เหมาะสมมากกว่าครับ
  
 ในรุ่นต่อมานี้จะเป็นรุ่นท็อปสุด Hiend จากทาง Final Audio นั้นคือ A8000 ซึ่งผมยินดียิ่งที่จะนำเสนอ ยังไงอย่าพึ่งเบื่อกันซะก่อนนะครับเชิญติดตามอ่านต่อด้านล่างนี้ได้เลย
 
 
: Final Audio A8000 :
 
"ที่สุดเเห่งเทคโนโลยีในการผลิตหูฟังจาก Final Audio จนกำเนิดมาเป็น A8000"
 
ข้อสังเกตสำหรับผม ในปัจจุบันเราจะเห็นหูฟังในหลาย ๆ แบรนด์ที่ใช้ไดรเวอร์ในการให้กำเนิดเสียงมาเป็นแบบ ไดนามิกไดรเวอร์ แตกต่างจากเมื่อหลายปีก่อนที่หลายแบรนด์นิยมใช้ BA (Balance Armarture) กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งแน่นอนครับว่าเสน่ห์ของไดรเวอร์แบบ BA คือ สามารถเเยกเสียงสูง กลาง ต่ำได้ตามจำนวนไดรเวอร์ที่ใส่เข้ามาบางรุ่นก็เริ่มตั้งแต่ข้างล่ะ 1 ตัว ไปจนถึงข้างล่ะ 16 ตัวก็มีให้เห็นกันมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเราสามารถได้ยินรายละเอียดเสียงชิ้นดนตรีต่าง ๆ ได้มากขึ้น ส่วนข้อเสียเองก็มีเหมือนกันครับสำหรับไดรเวอร์ประเภทนี้ นั่นคือมิติเสียงย่านต่ำทำจะได้ไม่ลึกเท่าที่ควรทำ นั้นจึงทำให้ไดรเวอร์แบบไดนามิกทำเสียงมิติย่านต่ำได้ดีว่ามาก และให้อารมณ์ความเป็นธรรมชาติเสียงและมิติได้ดีกว่ามาก 
 
เริ่มจากตัวกล่องภายนอกกันก่อนเลยนะครับ ในรุ่นท็อปนี้จะให้มีเป็นกล่องกระดาษรักโลกดีไซน์มินิมอลที่มีแค่ชื่อแบรนด์ Final Audio สีทองอยู่บริเวณกึ่งกลางกล่อง และก่อนจะไปดูหูฟังขอดูอุปกรณ์กันก่อนนะครับ
 
: อุปกรณ์ภายใน A8000 :
 
อุปกรณ์ที่ให้มาจะคล้าย ๆ กับรุ่นน้องทั้งสองรุ่น แต่จะต่างกันในส่วนขอตัวเคสกันกระแทกที่จะใช้เป็นสแตนเลสที่ช่วยเพื่มความแข็งแรงทดทานพร้อมที่จะป้องกันหูฟังเราไปทุกเมื่
-หูฟัง Final Audio A8000
-เคสกันกระแทก
-จุกหูฟัง
-ฟิลเตอร์แผ่นกรองฝุ่น
-คีบหนีบขั่วหูฟัง
 
: สเปกภายใน A8000 :
Housin            Stainless
Driver             Dynamic driver(Truly Pure Beryllium Diaphragm)
Connector       MMCX
Cable              OFC silver coated cable
Sensitivity       102dB
Impedance      16Ω
Weight            41g
 
เอาล่ะครับถ้าได้ดูตามสเปคแแล้วจะเห็นว่าบอดี้ของตัวหูฟังทำมาจาก Stainless ขึ้นรูปมาเป็นอย่างดี มีความเงางามพอได้สัมผัสแล้วพบว่ามีน้ำหนักพอประมาณเลยครับคือ 41 กรัม ซึ่งหลายท่านอาจจะกังวลว่าเวลาส่วมใส่ไปนาน ๆ แล้วจะทำให้เจ็บหูหรือเปล่า ตอบให้เลยครับว่าไม่เจ็บเลยครับ คงด้วยเพราะการออกแบบที่ลงตัวและถูกคำนวนมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นจึงทำให้ไม่แตกต่างมากนักหากเทียบกับหูฟัง In-ear ในหลาย ๆ รุ่นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะใบหูของแต่ล่ะคนด้วยนะครับ
 
ต่อมาจะเป็นเรื่องของไดรเวอร์ที่แสนภูมิใจ เพราะทางแบรนด์ Final Audio เลือกใช้เป็นไดนามิกไดรเวอร์ โดยใช้วัสดุ Beryllium Diaphragm บริสุทธิ์สูงทำให้สามารถตอบสนองความถี่ได้ต่ำที่สุดและสูงที่สุด บวกกับการปรับจูนเสียงอย่างเชี่ยวชาญ การนำเบริลเลียมไดอะแฟรมบริสุทธิ์อย่างแท้จริงมาใช้  ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นวัสดุไดอะแฟรมในอุดมคติเนื่องจากมีน้ำหนักเบาและความเร็วเสียงสูง 
 
อีกหนึ่งจุดที่แตกต่างไปจาก A3000 และ A4000 เลยก็คือขั้วสายเชื่อมต่อที่ใช้เป็น MMCX เคลือบเงิน OFC ความบริสุทธิ์สูง เป็นสายหูฟัง ที่พัฒนาร่วมกัน แต่เดิมออกแบบโดยและปัจจุบันผลิตโดยบริษัท Junkosha สัญชาติ ญี่ปุ่น ที่มีชื่อเสียงในด้านการทำสายสายโคแอกเชียลที่นำสัญญาณได้เร็วที่สุด หลายท่านเองอาจจะจับจุดจับทางได้แล้วไช่ไหมครับว่าคุณภาพเสียงที่ได้จะออกมาเป็นแบบไหน หลังจากได้เห็นสเปคกันไปบ้างแล้วแต่จะเป็นไปแบบนั้นหรือเปล่าผมจะสรุปให้ฟังตอนนี้เลยครับ
: สรุปเสียง A8000 :
 
เอาล่ะโอเคผมขอบอกตามตรงก็ได้ครับว่า Final Audio A8000 เป็นหูฟัง IEM ไม่กี่ตัวที่ผมชอบมากถึงมากที่สุด หลังจากที่ตัวผมเองก็ได้ทดลองหูฟังมาก็หลายตัวเพื่อที่จะค้นหาเนื้อเสียงในแบบที่เราต้องการจริง ๆ เเละรุ่นนี้เองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ทั้งนี้ผมจะขอสรุปเสียงที่ได้ดังต่อไปนี้เลยนะครับ
 
เสียงเบส : ให้เนื้อเบสที่มีความนุ่มลึก มีขนาดของตัวเบสที่ไม่ใหญ่มากนัก เก็บตัวเร็วจับจังหวะได้ดีด้วยเหตุนี้เอง จึงเหมาะอย่างมากกับแนวเพลง Acoustic ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเบสมาประมาณนี้จะเหมาะฟังกับเพลงช้ามากกว่าครับ
 
เสียงแหลม : เป็นเสียงแหลมที่ใส่สะอาดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลยครับ แต่อาจจะจิก ๆ ไปซะหน่อยนะครับ บอกเลยครับว่าปลายแหลมที่ลากตัวไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งแน่นอนครับว่าตั้งแต่ตัวบอดี้ที่ใช้วัสดุเป็น Stainless หรือการเลือกใช้สายเป็น OFC Silver ต่างก็มีผลเรื่องของเสียงแหลมทั้งสิ้น
 
เสียงกลาง : A8000 ปรับจูนเสียงนักร้องออกไปได้อย่างดี คือนำหน้าชิ้นดนตรีออกมาอยู่ตรงหน้าเราเลยครับ เสียงนักร้องนั้นมีเนื้อเสียงที่ชัดเจน คำร้องที่ออกมาจากเสียงของนักร้องไม่ว่าจะเป็นเสียงลมเสียงในลำคอ คือถูกถ่ายทอดออกมาให้เราได้ยินทั้งหมด
 
เวทีเสียง : ทำได้ดีแบบสุด ๆ ทั้งด้านกว้างและด้านลึก ระยะของเครื่องชิ้นดนตรีเสียงมีความเป็น 3 มิติ ทำให้เสียงดูโอบล้อม โดยที่ให้เสียงนักร้องอยู่ตรงกลางด้านหน้าเรา จะโดดเด่นขึ้นมากเมื่อฟังเพลงที่มีนักร้องหญิง
 
: สรุปส่งท้าย A3000 A4000 A8000 :
 
บอกได้เลยครับว่าหูฟัง Final Audio  A Series ถูกปรับจูนมาให้เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดเสียงให้ออกมาเที่ยงตรงมากที่สุด โดยเฉพาะ A8000 ที่ชอบเป็นการส่วนตัว ผมแนะนำเลยครับ ส่วนท่านใดที่สนใจทดสอบทดลองฟังก็สามารถเข้ามาฟังได้ที่ร้านมั่นคงแก็ดเจ็ทได้ทุกสาขาเลยครับ

คะแนนรีวิว

0 / 5

แต้ม

(ทั้งหมด 0 รายการ)
(0)
(0)
(0)
(0)
(0)

รีวิวจากลูกค้า

เรียงจาก

ถาม - ตอบทีมงาน



สินค้าใกล้เคียง